อายุเท่าไหร่ควรนอนหลับวันละกี่ชั่วโมง
โดย:
kt
[IP: 116.212.148.xxx]
เมื่อ: 2023-12-29 04:40:57
อายุเท่าไหร่ควรนอนหลับวันละกี่ชั่วโมง
- เด็กแรกเกิด (อายุ 0-3 เดือน) ควรนอน 14-17 ชั่วโมงต่อวัน
- เด็กทารก (อายุ 4-11เดือน) ควรนอน 12-15 ชั่วโมงต่อวัน
- เด็ก (อายุ 1-2 ปี) ควรนอน 11-14 ชั่วโมงต่อวัน
- วัยอนุบาล (3-5 ปี) ควรนอน 10-13 ชั่วโมงต่อวัน
- วัยประถม (6-13 ปี) ควรนอน 9-11 ชั่วโมงต่อวัน
- วัยมัธยม (14-17 ปี) ควรนอน 8-10 ชั่วโมงต่อวัน
- วัยรุ่น (18-25 ปี) ควรนอน 7-9 ชั่วโมงต่อวัน
- วัยทำงาน (26-64 ปี) ควรนอน 7-9 ชั่วโมงต่อวัน
- วัยชรา (65 ปีขึ้นไป) ควรนอน 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
ประโยชน์ของการนอนหลับ
สำหรับการนอนหลับมีความสำคัญต่อสุขภาพร่างกายและผิวพรรณช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังหรืออวัยวะที่สึกหรอ และยังช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนของร่างกาย ซึ่งมีสารสำคัญที่ร่างกายหลั่งออกมาในช่วงเวลานอนหลับ เช่น สารเมลาโทนิน(Melatonin) เป็นสารที่ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
หากนอนหลับไม่เพียงพอก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายรวมทั้งผิวพรรณแย่ลง โดยการอดนอนจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานหนักขึ้นซึ่งเลือดจะมีเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นและเม็ดเลือดขาวเหล่านี้จะสลายตัวในเวลาต่อมาจึงทำให้ความสามารถของร่างกายในการต้านทานต่อเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสเสียไป
- เด็กแรกเกิด (อายุ 0-3 เดือน) ควรนอน 14-17 ชั่วโมงต่อวัน
- เด็กทารก (อายุ 4-11เดือน) ควรนอน 12-15 ชั่วโมงต่อวัน
- เด็ก (อายุ 1-2 ปี) ควรนอน 11-14 ชั่วโมงต่อวัน
- วัยอนุบาล (3-5 ปี) ควรนอน 10-13 ชั่วโมงต่อวัน
- วัยประถม (6-13 ปี) ควรนอน 9-11 ชั่วโมงต่อวัน
- วัยมัธยม (14-17 ปี) ควรนอน 8-10 ชั่วโมงต่อวัน
- วัยรุ่น (18-25 ปี) ควรนอน 7-9 ชั่วโมงต่อวัน
- วัยทำงาน (26-64 ปี) ควรนอน 7-9 ชั่วโมงต่อวัน
- วัยชรา (65 ปีขึ้นไป) ควรนอน 7-8 ชั่วโมงต่อวัน
ประโยชน์ของการนอนหลับ
สำหรับการนอนหลับมีความสำคัญต่อสุขภาพร่างกายและผิวพรรณช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิวหนังหรืออวัยวะที่สึกหรอ และยังช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนของร่างกาย ซึ่งมีสารสำคัญที่ร่างกายหลั่งออกมาในช่วงเวลานอนหลับ เช่น สารเมลาโทนิน(Melatonin) เป็นสารที่ช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิต
หากนอนหลับไม่เพียงพอก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายรวมทั้งผิวพรรณแย่ลง โดยการอดนอนจะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานหนักขึ้นซึ่งเลือดจะมีเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้นและเม็ดเลือดขาวเหล่านี้จะสลายตัวในเวลาต่อมาจึงทำให้ความสามารถของร่างกายในการต้านทานต่อเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสเสียไป
- ความคิดเห็น
- Facebook Comments